เพราะคนที่ใช่คือคนที่ไม่ปล่อยมือจากกันง่ายๆ ‘Nobody Wants This’ ซีรีส์โรแมนติกที่ตีแผ่โลกความสัมพันธ์ของคนยุคใหม่

จะนับเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ เพราะช่วงที่ฉันได้ดู ‘Nobody Wants This’ ซีรีส์ขนาด 10 ตอนจบบน Netflix คือช่วงที่ฉันออกเดตฉ่ำสุดๆ ไม่ต่างจาก ‘โจแอนน์’ นางเอกของเรื่อง 

ความตลกอยู่ตรงไหนรู้ไหม ฉันพบว่ายิ่งดูไป ฉันยิ่งเห็นความเหมือนของตัวเองกับโจแอนน์อีกหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายแต่ละคนที่เธอเลือกไปเดตด้วยคือผู้ชายธงแดง (Red Flag) ที่ไม่พร้อมจะสานสัมพันธ์ลึกซึ้ง (Emotional Unavailable) เธอติดกับดักของการ Love Bombing จนโงหัวไม่ขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีความไม่มั่นคงทางจิตใจ ตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง Ghosting คู่เดตรายสัปดาห์ และบางครั้งก็สงสัยว่า ‘คนที่ใช่’ ของเธอจะมีอยู่จริงหรือเปล่า

ถ้าคุณมีอาการแบบนี้เหมือนกัน หรืออย่างน้อยอาจจะเคยปวดหัวกับเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ บอกเลยว่า ‘Nobody Wants This’ คือซีรีส์โรแมนติกคอมเมดีที่ห้ามพลาด

และถ้าอินมากๆ รู้สึกว่าตรงสุดๆ อาจมีบางช่วงตอน บางตัวละคร และบางบทสนทนาที่ให้แง่คิดที่ปลดล็อกบางอย่างในใจคุณได้เหมือนฉัน

รักของเหมยลี่ฮอลลีวูด

ขอยกตัวอย่างแบบให้เห็นภาพที่สุด โจแอนน์ใน Nobody Wants This (รับบทโดย Kristen Bell) ก็คล้ายๆ เป็น ‘เหมยลี่’ ฉบับฮอลลีวูดอย่างไรอย่างนั้น

ผู้หญิงในวัย 30 กำลังรอคอยรักที่ใช่ อยู่มาวันหนึ่งก็ได้เจอกับหนุ่มหล่อวัยเดียวกันที่เข้าขากันได้ดีราวกับผู้ชายในฝัน นำไปสู่การลองเปิดใจ การตกหลุมรัก การก้าวข้ามอุปสรรค และเรียนรู้ว่านิยามของความรักที่ดีจริงๆ เป็นยังไง

ถึงอย่างนั้นโจแอนน์ก็แตกต่างกับเหมยลี่อย่างคนละขั้วในบางเรื่อง เธอไม่ใช่สาวออฟฟิศไทยที่รักนวลสงวนตัว เอาแต่ทำงาน และไม่เคยจีบผู้ชายก่อน ตรงกันข้าม โจแอนน์เดตผู้ชายเป็นว่าเล่น (และมักจะเทเขาก่อนเสมอเมื่อรู้สึกว่าคนนั้นไม่เวิร์ก) ประสบการณ์การเดตของเธอโชกโชนมากพอจนเอามาเล่าเป็นพอดแคสต์กับพี่สาวได้เป็นตอนๆ 

         ใช่ เธอคือโฮสต์เจ้าของรายการพอดแคสต์ว่าด้วยความสัมพันธ์ เรื่องบนเตียง และการเอมเพาว์เออร์ผู้หญิงยุคใหม่ ซึ่งไปได้สวยสุดๆ จนแพลตฟอร์มสตรีมมิงต้องมาขอซื้อ

        โจแอนน์คิดว่าเดตของเธอคงจะเป็นเรื่องเล่นๆ ที่ทำเพื่อหาคอนเทนต์มาเล่าในรายการเท่านั้น จนกระทั่งเธอได้เจอกับ ‘โนอาห์’ (รับบทโดย Adam Brody) ในปาร์ตีอาหารเย็นของเพื่อนสนิท เขาคืออาจารย์ชาวยิว (แรบไบ) ผู้เผยแพร่ศาสนา ถ้าเทียบกันแล้วโจแอนน์ก็คือ ‘ชิกซา’ หญิงสาวผู้ทำตัวก๋ากั่น และไม่เชื่อในพระเจ้า

มองจากดวงจันทร์ก็ดูออกว่าทั้งคู่ต่างกันมากเหมือนกับอยู่โลกคนละใบ ดูแล้วความสัมพันธ์ในอนาคตจะมีอุปสรรค และความอีนุงตุงนังตามมาอีกเยอะแน่ๆ

แต่ทำไมก็ไม่รู้ คนเคร่งศาสนาคนนี้กลับดึงดูดสาวก๋ากั่นอย่างเธอให้เข้าใกล้ได้อย่างประหลาด

คนที่แตกต่างกันมากๆ จะรักกันมากๆ ได้ไหม นั่นคือคำถามที่ซีรีส์ตั้งไว้ให้เราลุ้นหาคำตอบ

นายมั่นคงและนางสาววิตกกังวล

ลึกๆ แล้วโจแอนน์กับฉัน เราเหมือนกันที่ความวิตกกังวล

ถ้าใครเคยศึกษาเรื่อง Attachment Style หรือทฤษฎีรูปแบบความผูกพัน อาจรู้ว่ามีการแบ่งกลุ่มคนตามพฤติกรรมที่พวกเขาเป็นเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์อยู่ 3 แบบ นั่นคือแบบมั่นคง (Secure) คนที่ชัดเจนในการมอบ และรับความรักจากคนอื่น 

แบบหลีกเลี่ยง (Avoidant) คนที่เมื่อได้รับความรักมากๆ แล้วจะหลีกหนีมัน เพราะกลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าตัวตนข้างในของตัวเองไม่ดีพอ และสุดท้ายคือแบบของฉันกับโจแอนน์ แบบวิตกกังวล (Anxious)  คนที่วิตกกังวลกับทุกสิ่งในความสัมพันธ์ แม้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอจะกังวลไว้ก่อน นำหนึ่งก้าวเสมอ

รู้สึกหงุดหงิดที่เขาไม่ตอบแชท กระวนกระวายขึ้นไปอีกเมื่อเขาหายไป 2-3 ชั่วโมง การสงสัยในตัวเองจนต้องถามว่า “เราดีพอที่จะคบกันคนที่ดีมากๆ ไหม คนที่ยอดเยี่ยมมากๆ น่ะ” หรือการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ ที่อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ยิ่งเป็นคนในวัย 30+ ที่รู้สึก (ไปเอง) ว่าตัวเรานี้เริ่มโรยรา และการจะหาความโรแมนติกใส่ชีวิตเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที นั่นแหละพวกเราชาว Anxious

ยิ่งในเคสของโจแอนน์ เธอกลัวว่าจะเป็นคนคั่นเวลา หรือคนแก้เหงาสนุกๆ ของใคร โดยเฉพาะโนอาห์ซึ่งเพิ่งบอกเลิกผู้หญิงที่คบมานานแรมปีด้วย  

แต่เชื่อไหมว่าความวิตกกังวลเหล่านี้สงบลง เพราะโนอาห์ทำบางสิ่งด้วยความเข้าใจ และ ‘มั่นคง’ อย่างที่ชาว Secure เขาทำ

รักกันต้องคุยกันนะ

สิ่งนั้นคือการสื่อสาร การอยู่ข้างๆ เพื่อรับรู้ว่าเธอวิตก และให้ความมั่นใจกับเธอในเรื่องที่โจแอนน์กำลังวิตกกังวล

แต่ก็ใช่ว่าโนอาห์จะเป็นเทพบุตรที่เดินลงมาจากฟ้า และสมบูรณ์แบบไปเสียหมด เขาเองก็เคยมีปัญหาเรื่องการสื่อสารที่ต้อง ‘กั๊ก’ ตัวเองตามธรรมชาติของเขาที่เป็นคนไม่ค่อยสื่อสารอะไรในใจ  ไหนจะหน้าที่การงานที่ทำให้พูดทุกอย่างที่คิดออกมาไม่ได้ และความสัมพันธ์ครั้งเก่าที่อยู่ไปแบบวันๆ

“รีเบกก้ากับผมเราไม่เคยคุยกันจริงๆ คือเราก็คุยกันนะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรจริงจัง มีแต่เรื่องคุยวนไปวนมา เราไม่เคยคุยเรื่องที่น่าอึดอัด แล้วอยู่ดีๆ สามปีต่อมา เราก็ไม่รู้จักกันอีกแล้ว” โนอาห์เปิดเผยให้โจแอนน์ฟัง และเธอก็พูดบางสิ่งที่ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้

“การเปิดเผยเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ มันช่วยสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้นะ”

ในขณะที่ตัวโจแอนน์เอง แม้จะแนะนำอีกฝ่ายไปแบบนั้น และมีภาพลักษณ์ของหญิงแกร่งสุดเอมเพาว์เออร์ที่พูดทุกอย่างที่คิด ลึกๆ แล้วเธอก็มีบางเรื่องที่ไม่กล้าสื่อสารออกมาเหมือนกัน คือความกลัวที่อยู่ลึกสุดใจ

มีฉากหนึ่งที่ฉันชอบมาก คือฉากที่ตัวละครทั้งสองเปิดใจต่อกันหลังจากเดตแรก  โจแอนน์และโนอาห์อยู่ในครัว กำลังกินอาหารที่เขาทำ อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เปิดประเด็นเรื่องการพยายามในการสานสัมพันธ์

“ผมไม่อยากให้เราคบกันคั่นเวลา ผมอยากให้มันจริงจัง นั่นอาจจะฟังดูน่าอาย แต่ผมโอเคกับมัน ผมไม่ได้ต้องการแค่เล่นสนุก ถ้าคุณคิดอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร คุณไม่ได้ติดค้างอะไรผม ผมแค่อยากรู้เฉยๆ” โนอาห์เปิดเผย

โจแอนน์ดูกลัวและกระอักกระอ่วนใจ นั่นก็เพราะเธอกลัวจริงๆ

“ความจริงคือฉันไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน มันน่ากลัวมากเลย แม่ฉันเป็นคนเจ้าอารมณ์มากๆ แล้วมันก็ทำให้พ่อเหินห่าง  ฉันพยายามหนักมากมาตลอดเพื่อไม่ให้เป็นแบบนั้น ใช่ บางครั้งฉันทำเรื่องแปลกๆ บางทีฉันก็วู่วามแล้วก็หมกมุ่น” 

“ฉันเคยบอกคุณว่าสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด คือดึงหน้าแล้วไม่สวย แต่ฉันว่าฉันได้รู้สิ่งที่กลัวกว่าแล้ว มันคือเรื่องนี้แหละ เรื่องที่ฉันจะเอาความรู้สึกไปผูกมัดกับผู้ชายที่สักวันจะคิดได้ว่ารับมือฉันไม่ไหว แล้วฉันก็จะใจสลาย นี่คือเรื่องที่ไม่น่าหลงใหลที่สุดที่คุณเคยเห็นเลยใช่ไหม”

เธอกลั้นใจ เตรียมใจไว้แล้วว่าเขาอาจจะตอบว่า ‘ใช่’ คิดว่าเธอเยอะเกินไป และจบเรื่องทุกอย่างทั้งหมด แต่โนอาห์กลับปฏิเสธ

“ไม่ น่าหลงใหลที่สุดต่างหาก ผมต้องการสิ่งนี้ ผมต้องการทั้งหมดเลย”

“แต่คุณจะทำอย่างนั้นหรือเปล่า คุณจะทำฉันใจสลายหรือเปล่า”

“ผมคงขาดใจตายจริงๆ ถ้าทำคุณใจสลาย” การสื่อสารนั้นจบด้วยจุมพิตหวาน มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่สวยงามของทั้งคู่

รักนี้ไม่มีใครอยากได้…ยกเว้นคนที่ใช่

อาจเพราะในยุคสมัยนี้ การจะกระโดดลงไปในความสัมพันธ์ดูเป็นเรื่องที่เดิมพันสูง และยากขึ้นไปทุกที 

เพราะทุกวันนี้เราแมตช์กับคนแปลกหน้าได้ในเสี้ยววินาที ตกหลุมรักเขาในชั่วข้ามคืน แต่ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีก็ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีตัวเลือกมากมาย ถ้าคุยๆ ไปแล้วไม่เวิร์กก็ไม่เป็นไร จะเข้าแอพฯ กลับมาปัดหารักแท้กี่รอบก็ได้ 

นั่นทำให้หลายคนยิ่งกั๊ก ไม่กล้าลงใจในความสัมพันธ์ นำไปสู่การจมอยู่กับวังวนของ Situationship ที่ต้องเดาใจอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า  

ทำไมก็ไม่รู้ ยุคนี้การจะแสดงออกว่าจะรักจะชอบใครสักคนกลายเป็นเรื่องที่ดู ‘ไม่คูล’ และไม่ค่อยจะมีใครทำซะอย่างนั้น แต่ไม่ใช่กับโจแอนน์และโนอาห์ ที่ทำให้เราเห็นว่าถ้ายิ่งรักกัน ยิ่งต้องแสดงออกสิ ถ้าอยากรู้จักกันและกันอย่างลึกซึ้งก็ยิ่งต้องสื่อสารกัน และถ้าหากเจอเรื่องราวยากๆ ในความสัมพันธ์ก็ยิ่งต้องจับมือกันให้แน่นขึ้น

จริงอยู่ที่การอยู่กับคนที่ใช่ อะไรๆ ก็ง่าย แต่ในหนังสือหลายเล่มอาจไม่ได้พูดต่อว่า ‘มันก็ไม่ได้ง่ายเสียทีเดียว’ 

ความสัมพันธ์มีขึ้นมีลงเป็นปกติ มีโมเมนต์ล้ำค่า และมีอุปสรรคที่เราต้องก้าวผ่าน การไม่ยอมแพ้ในกันและกัน นั่นอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหรือเปล่า

‘ความง่าย’ ในคำว่าคนที่ใช่ อาจหมายถึงอยู่ด้วยกันได้ง่ายๆ มีความสุข ราบรื่น สบายใจ แต่ในอีกความหมายคือมันอาจหมายถึงคนที่ไม่ปล่อยมือกันไป ‘ง่ายๆ’ ก็ได้นะ

AUTHOR