Bullet Train Explosion : ซอฟต์เพาเวอร์ทรงคุณค่าหรือการหาทำที่ตกยุค

ช่วงเมษายน 2025 กระแสพูดถึงภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Bullet Train Explosion (ฉายทางเน็ตฟลิกซ์) ในโซเชียลมีเดียบ้านเรามีให้เห็นอยู่ไม่น้อย เรื่องราวว่าด้วยรถไฟชินคันเซ็นที่ถูกขู่วางระเบิด คนร้ายประกาศกร้าวว่าหากรถไฟวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระเบิดจะทำงานทันที เป็นเหตุให้รถไฟขบวนนี้ต้องวิ่งแบบไม่จอดป้ายไปเรื่อยๆ กระแสตอบรับของผู้ชมไปในทางเดียวกันว่าเป็นหนังที่ดูสนุก ลุ้นระทึก แถมยังสะท้อนคุณค่าหลายประการของสังคมญี่ปุ่นด้วย

ก่อนจะไปว่าถึงตัวภาพยนตร์ ก็ต้องบอกเล่าถึงรถไฟชินคันเซ็น เพราะถือว่าเป็นอีกตัวละครเอกสำคัญ โดยหลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้อย่างยับเยินในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945 รัฐบาลและประชาชนก็ร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟูประเทศ ด้วยทั้งนโยบายชาตินิยม วัฒนธรรมการทำงานหนัก และการผลักดันอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี จนในที่สุดจากประเทศแพ้สงคราม ปี 1964 ญี่ปุ่นก็สามารถจัดงานกีฬาโอลิมปิกได้ พร้อมทั้งเปิดตัวรถไฟชินคันเซ็นที่วิ่งจากโตเกียวไปยังโอซาก้า 

ผู้ใดที่เคยใช้บริการชินคันเซ็นต่างต้องออกปากชื่นชมในประสิทธิภาพของมัน ไม่ว่าจะความรวดเร็ว ความสบาย ความสะอาด ความตรงเวลา (เป็นระดับวินาที!) แม้จะแลกมาด้วยราคาแพงหูฉี่ เรียกว่าเป็นระบบรางชั้นนำของโลก ชนิดยุโรปก็สู้ไม่ได้ ยิ่งช่วงหลังมารถไฟของยุโรปมีปัญหามากมาย ทั้งรถพัง รถมาเลท สหรัฐอเมริกาไม่มี เพราะนิยมขับรถส่วนตัวมากกว่า จะมีก็จีนแผ่นดินใหญ่ที่พัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงจนตามทันญี่ปุ่นได้ (บ้างก็ว่าแซงหน้าแล้วเรียบร้อย)

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าทุกอย่างจะสวยงามเสียหมด เมื่อปี 1975 มีภาพยนตร์เรื่อง The Bullet Train (กำกับโดย จุนยะ ซาโต้) ออกฉาย และเป็นงานที่อื้อฉาวพอสมควร หนังว่าด้วยการขู่วางระเบิดชินคันเซ็นเช่นกัน จุดที่น่าสนใจคือเหล่าผู้ก่อการ คือการรวมตัวกันของเจ้าของธุรกิจที่โรงงานเจ๊ง อดีตนักศึกษาฝ่ายซ้ายที่ชอกช้ำกับการปฏิวัติไม่สำเร็จ และเด็กหนุ่มที่รู้สึกสิ้นหวังกับสภาพสังคม มันคือการสะท้อนว่าท่ามกลางปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ สังคมญี่ปุ่นก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และความคับข้องใจของพวกเขาก็ระเบิดออกมา

ถึงกระนั้น The Bullet Train ฉบับปี 1975 ยังมีแง่งามการแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจในมนุษย์ เช่นว่าผู้ก่อการพยายามเลี่ยงการนองเลือดหรือเสียชีวิต ส่วนฝั่งเจ้าหน้าที่รถไฟก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตผู้โดยสาร แม้จะต้องขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาหรือฝั่งรัฐบาล อีกข้อน่าสนใจคือ หนังไม่ได้รับการสนับสนุนจาก JNR (Japanese National Railways – การรถไฟญี่ปุ่นในยุคนั้น) ฟุตเทจส่วนภายในของชินคันเซ็นจึงเป็นการแอบถ่าย ส่วนฉากรถไฟวิ่ง รถไฟชน ก็ใช้เทคนิคแบบจำลองย่อส่วน (miniature) ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีตามเทคโนโลยีที่มี

ส่วน Bullet Train Explosion (2025) ที่เราเพิ่งได้ดูกันไป ถือเป็นภาคต่อ 50 ปีต่อมาของ The Bullet Train ความต่างคือหนังได้รับการสนับสนุนจากบริษัท JR East (บริษัทรถไฟญี่ปุ่นตะวันออก) ทำให้ฉากต่างๆ ดูสมจริงมากขึ้น แถมพวกซีจีฉากแอ็คชั่น ฉากระเบิดต่างๆ ก็ดูแนบเนียน ไม่เด๋อ ซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนของภาพยนตร์ญี่ปุ่นเสมอ

และถ้าใครเคยดูผลงานของผู้กำกับ ชินจิ ฮิกุจิ อย่าง Shin Godzilla (2016) หรือ Shin Ultraman (2022) ก็จะเห็นลายเซ็นของเขาถึงการเน้น ‘กระบวนการการทำงาน’ ไม่ว่าจะต่อสู้กับก๊อดซิลล่า สัตว์ประหลาด หรือผู้ก่อการร้าย หนังของเขาจะไม่ได้เน้นฉากต่อสู้อย่างเดียว แต่จะฉายภาพการวางแผน การเจรจา การต่อรอง ระหว่างหน่วยงานรัฐต่างๆ ซึ่งอาจมองว่าเป็นการจิกกัดระบบราชการอันซับซ้อนของญี่ปุ่นก็ได้

แต่เมื่อ Bullet Train Explosion ได้ซัพพอร์ตจาก JR East ก็ไม่น่าแปลกใจที่หนังจะพยายามนำเสนอด้านดีของชินคันเซ็นและเหล่าพนักงาน ไม่ว่าจะความเป๊ะในการขับรถไฟ จิตใจบริการขั้นสูงไม่ทอดทิ้งผู้โดยสารแม้ยามวิกฤต อันที่จริงหนังยังพูดถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวญี่ปุ่น เช่นหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ที่มาร่วมมือกันช่วยรถไฟคันนี้ หรือกระทั่งผู้โดยสารที่ทะเลาะตบตีกันตอนต้นเรื่อง ภายหลังก็รวมใจกันเอาชีวิตรอด เป็นนัยว่าเพราะความร่วมแรงร่วมใจกันนี่เองที่ทำให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากยุคหลังสงครามโลก แผ่นดินไหว สึนามิ มาได้ 

ทว่าค่านิยมเช่นนี้เป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นพยายามนำเสนอมาตั้งแต่ยุค 90 แล้ว พูดอีกแบบว่านี่คือชุดของซอฟต์เพาเวอร์ที่ถูกบอกกล่าวอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่อาจมองเป็นได้ทั้งจุดเด่นและจุดอ่อนของสื่อญี่ปุ่นที่มักใช้วิธีการแบบเดิมๆ แบบที่ทำมาช้านาน เช่นว่าหากลองดูซีรีส์ญี่ปุ่นที่ฉายอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะวิธีการเล่า พล็อตเรื่อง การถ่ายทำ หรือการแสดงก็แทบไม่ต่างจากยุค 90 เลย 

สิ่งที่สื่อญี่ปุ่นยังขาดอยู่อาจจะเป็นภาพยนตร์/ซีรีส์ที่มองถึงปัญหาในปัจจุบันและอนาคตอย่างจริงจัง (โอเค อาจจะมีหนังอย่าง Plan 75 (2022) ที่พูดถึงสังคมผู้สูงอายุ แต่ก็เป็นส่วนน้อย) เอาอย่างเรื่องชินคันเซ็น แม้จะมีความดีงามมากมาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีจุดต้องแก้ไขอยู่มาก โดยเฉพาะในยุคนักท่องเที่ยวล้นเกิน (Overtourism) ไม่ว่าจะที่วางกระเป๋าขนาดใหญ่ไม่เพียงพอ ระบบการจองที่ซับซ้อนทำความเข้าใจยาก หรือตั๋วคิวแลก JR PASS ที่ใช้เวลาเนิ่นนาน หรืออนาคตหลายส่วนของชินคันเซ็นก็น่าเป็นห่วงอยู่ ไม่ว่าจะการพัฒนาชินคันเซ็นสายฮอกไกโดที่คนตั้งคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะเป็นบริเวณประชากรเบาบาง ส่วนรถไฟสาย Chou Shinkansen ที่ใช้ระบบ maglev ล่าสุดก็เลื่อนจากปี 2027 ไป 2034 เนื่องด้วยปัญหาการก่อสร้าง

เอาเข้าจริงแล้วตัวผู้กำกับฮิกุจิเองยังให้สัมภาษณ์ว่า ประเด็นของ Bullet Train Explosion ค่อนข้างญี่ปุ่นจ๋า และเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้มีค่านิยมเช่นนี้แล้ว ตัวหนังเองก็มีฉากที่ตัวเอกผู้เป็นพนักงานรถไฟ JR พูดถึงอุดมการณ์การทำงานอันแรงกล้า หากแต่เหล่าเด็กเจนซีที่มาทัศนศึกษาได้แต่ทำหน้างงๆ ถึงกระนั้นหนังก็เลือกจบด้วยภาพของตัวเอกถูกเชิดชูเป็นฮีโร่น่ายกน่อง จึงน่าสนใจว่าเสียงแซ่ซ้องนี้จะส่งไปถึงคนรุ่นใหม่หรือผู้ชมทั่วโลกได้มากแค่ไหน

AUTHOR