นานแค่ไหนแล้วที่เราเอาชีวิตกองไว้หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วปล่อยให้เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกฎของมัน รู้ตัวเข้าอีกที ก็เหนื่อยกายหน่ายใจจนไม่มีแรงจะตื่นมาสู้กับรถติดในเช้าวันจันทร์และเย็นวันศุกร์อีกแล้ว
หากใครที่กำลังเผชิญกับสภาวะแบบนี้อยู่เช่นกัน เราอยากชวนให้ลองออกไปฟังเสียงคลื่นทะเล สูดหายใจให้เต็มปอดในป่าเขา หรือพลางตัวอยู่ท่ามกลางภาษาที่ไม่คุ้นชินดูสักครั้ง บางทีการออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างอาจช่วยฮีลใจของเราให้ดีขึ้นก็ได้นะ
ทริปฮีลใจใน ‘อี๋หลาน’
เมืองที่งดงามไปด้วยท้องทะเล ป่าเขา และคัลเจอร์
การเดินทางในครั้งนี้เรามีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ‘อี๋หลาน’ ดินแดนทางตอนเหนือของไต้หวัน เมืองที่เขาว่ากันว่าครบครันไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ มองไปทางโน้นก็เจอทะเล มองมาทางนี้ก็เจอภูเขา แถมยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีกเพียบ
วันนี้ a day คัด ‘ที่ชอบ’ จากเมืองอี๋หลานมาให้ลองแวะไปดูถึง 7 แห่งด้วยกัน มั่นใจได้เลยว่า หากชาวแก๊งท่านใดที่อยากไปตามรอยจะได้รับการเยียวยาจิตใจผ่านธรรมชาติ และได้สนุกไปกับการซึมซับวัฒนธรรมผ่านการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน
ถ้าใครพร้อมแล้วล่ะก็ เตรียมสะพายกล้อง เก็บกระเป๋า แล้วตามกันมาได้เลย!
ทิวทัศน์ข้างทางที่แวะมาทักทาย
ระหว่างทางจากสนามบินไทเปไปจนถึงอี๋หลาน ทิวทัศน์ตลอดทางกอดเราไว้ด้วยภูเขาที่เรียงราย เมื่อเคลื่อนตัวเข้าเขตย่านการค้า ข้างทางก็เต็มไปด้วยตึกวินเทจที่เป็นร้านรวงต่างๆ ท้องถนนประปรายด้วยผู้คนที่สัญจรไปมาทั้งมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ มีที่อยู่อาศัยของผู้คนผสมปนเปกันไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วถือเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวไม่น้อยเลยทีเดียว
เรานั่งชมวิวจากหน้าต่างรถไปเรื่อยๆ จนสังเกตเห็นตึกคอนกรีตที่เริ่มเบาบางลง เหลือเพียงแค่ฟากฝั่งเดียวของถนน ก่อนจะเผยให้เห็นถึงสีครามสดใสของท้องทะเล อันเป็นสัญญาณที่บอกเราว่า “การเดินทางในครั้งนี้กำลังเริ่มขึ้นจริงๆ แล้ว”

1
ตื่นตาตื่นใจไปกับเส้นทางธรรมชาติ
ณ แหลมปี๋โถวเจี่ยว
Bitoujiao Hiking Trail
การเปิดฉากแรกในทริปอี๋หลานด้วยการเดินขึ้นเขา ดูจะเป็นแผนการของพี่ไกด์ที่ใช้ปลุกเอเนอร์จีของพวกเราได้อย่างดีเลยทีเดียว แต่ก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปโผกอดธรรมชาติ เรามาทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้กันก่อนดีกว่า
‘แหลมปี๋โถวเจี่ยว’ ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 แหลมชมวิวที่สวยที่สุดในไต้หวัน ตั้งอยู่ในเขตหลงต้ง (Longdong) ของเมืองอี๋หลาน พี่ไกด์บอกกับเราว่าระยะทางเดินเท้าของที่นี่ยาวกว่า 3.5 กิโลเมตร เลยทีเดียว หากใครสามารถเดินขึ้นไปได้สูงเท่าไหร่ วิวที่เห็นก็จะยิ่งสวยเท่านั้น แต่สำหรับใครที่คิดว่าจะเดินไม่ไหวก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะตลอดทางจะมีจุดชมวิวอยู่เป็นระยะ ใครไหวก็เดินต่อ ส่วนใครไม่ไหวก็นั่งพักสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ว่าจะไปต่อหรือจะพอแค่นี้

รอบกายของเรารายล้อมไปด้วยหุบเขาสีเขียวชอุ่ม ในขณะที่เบื้องหน้าก็มีทะเลสีครามที่แสนสงบ แน่นอนว่าเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่เดินไปได้ไม่ถึงปลายทาง แต่ก็ต้องบอกว่าทิวทัศน์ที่เราได้สัมผัสมาด้วยสายตานั้นมันเพียงพอแล้ว เราหยุดพักที่จุดชมวิวหนึ่งก่อนที่ฝนจะเทลงมา ซึ่งก็ยิ่งทำให้บรรยากาศในตอนนั้นทวีความสดชื่นขึ้นไปอีก

หลังจากนั่งพักและมองคลื่นที่กระทบฝั่งไปสักพัก ก็ได้เวลาที่เราจะต้องบอกลาความงามตระการตาที่อยู่ตรงหน้า แต่จริงๆ แล้วเส้นทางนี้ไม่ได้มีแค่หุบเขาและท้องทะเลที่รอให้เรามุ่งหน้าไปดูเพียงแค่ 2 อย่างหรอกนะ เพราะตลอดทางที่เราพลางเดินพลางถ่ายรูปมาเรื่อยๆ เราเจอทั้งอุโมงค์ที่สวยสะกดตา ผ่านมาได้อีกสักระยะก็ทำเอาทึ่งกับภูเขาทั้งลูกที่เต็มไปด้วยสุสานของผู้คนที่ล่วงลับไปแล้ว เช่นเดียวกับทางที่ใช้ลงจากเขา เราก็ได้เห็นบรรยากาศอันเป็นธรรมดาของเมือง ซึ่งสำหรับเราแล้วทิวทัศน์เหล่านี้ที่ได้เจอระหว่างทางก็มีเสน่ห์และงดงามไม่ต่างไปจากขุนเขา และท้องทะเลที่เห็นก่อนหน้านี้เลย


2
ล่องธรรมชาติ ส่องประวัติศาสตร์ ไปกับ
‘อุโมงค์เก่าเฉาหลิ่ง’
Old Caoling Tunnel
ทันทีที่รถเทียบท่า พี่ไกด์ของเราก็รีบจัดแจงจักรยานคู่ใจให้กับลูกทริปแต่ละคน และพากันเคลื่อนตัวไปยังทางเข้าอุโมงค์เก่า ก่อนจะเล่าให้ฟังถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าชั่วอายุคนของพื้นที่แห่งนี้
‘อุโมงค์เก่าเฉาหลิ่ง’ เป็นอุโมงค์รถไฟที่มีความยาวถึง 2,167 เมตร และถูกสร้างขึ้นมาเกือบ 100 ปีที่แล้ว ในสมัยที่ญี่ปุ่นเข้ามาปกครอง นานมาแล้วที่นี่ถูกใช้เป็นเส้นทางเดินรถไฟเพื่อลดความหนาแน่นของการจราจรในเขตอี๋หลานและเมืองไทเป แต่ด้วยขนาดที่เล็กจนเกินไป ทำให้ในปี 1986 ได้มีการสร้างอุโมงค์เฉาหลิ่งใหม่ (New Caoling Tunnel) ขึ้นมาใช้แทนที่ เป็นเหตุให้อุโมงค์เก่าแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานกว่า 20 ปี ก่อนจะถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติอย่างที่เรามาปั่นจักรยานเล่นได้ในปัจจุบัน

เล่าถึงเรื่องราวของพื้นที่ตรงนี้ไปแล้ว เราขอมาพูดถึงบรรยากาศโดยรอบที่เราไปสัมผัสกันมาบ้าง
ด้วยความที่อุโมงค์แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความเขียวของต้นไม้ เพียงแค่เราย่างกายเข้าไปใกล้บริเวณปากอุโมงค์ มวลของอากาศที่เย็นสบายก็สัมผัสเข้ากับผิวหนังของเราได้ในทันที กลิ่นของความชื้นในอากาศ ลมที่พัดมาเป็นระยะ เป็นสิ่งที่ชวนให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ระหว่างที่ปั่นจักรยานภายในอุโมงค์ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตรนี้ เราเจอทั้งคนไต้หวันที่มาเดินเล่นออกกำลังกาย พ่อแม่ที่พาลูกๆ มาปั่นจักรยาน รวมถึงหนุ่มสาวที่มาใช้เวลาร่วมกัน ด้วยความที่อุณหภูมิด้านในอุโมงค์นี้น่าจะต่ำกว่าข้างนอก 5 – 7 องศาเซลเซียสเห็นจะได้ ทำให้บรรยากาศภายในมีความเย็นสดชื่น เหมาะแก่การดับร้อนในวันที่อุณหภูมิสูงได้ดีทีเดียว

อีกฟากฝั่งหนึ่งของอุโมงค์มีทั้งท้องทะเล ภูเขา และทางรถไฟสายใหม่ที่รอต้อนรับเราอยู่ เราว่าการมาใช้เวลาที่นี่นอกจากจะได้สัมผัสกับร่องรอยทางประวัติศาสตร์ในยุคหนึ่งของไต้หวันแล้ว เรายังจะได้ใกล้ชิดกับความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัวอีกด้วย
เราแทบจำไม่ได้แล้วว่านานแค่ไหนที่ได้สูดหายใจอย่างเต็มปอดแบบนี้ หากใครอยากใช้เวลาไปกับวันสบายๆ ลองแวะมาชมธรรมชาติ ฟังเสียงรถไฟ และสัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆ ของอุโมงค์แห่งนี้ดูนะ

3
แวะขอพรเสริมแรงใจ ณ ศูนย์กลางศรัทธาแห่งอี๋หลาน
‘วัดต้าหลี่เทียนกง’
Dali Tiangong Temple
เรามาถึง ณ วัดแห่งนี้ในช่วงเวลาที่แดดร่มลมตกพอดี มีฝนปรอยลงมาบ้าง แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเข้าไปทำความรู้จักกับวัดนี้เลยสักนิด
วัดต้าหลี่เทียนกง มีชื่อเดิมว่าวัดชิ่งอวิ๋น (Qingyun Temple) ตั้งอยู่ในเขตต้าหลี่ (Dali) ของอี๋หลาน ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1836 เพื่อเป็นพื้นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับผู้คนในเมือง และหากใครอยากขอพรในเรื่องของความมั่งคั่งร่ำรวย หรือความเจริญรุ่งเรืองทางการงานการเงินล่ะก็ อย่าได้พลาดที่จะแวะมาสักการะเทพเจ้า ‘เทียนกง’ เทพสูงสุดของวัดแห่งนี้

นอกจากความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นชื่อเสียงของวัดนี้แล้ว สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น พร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่งดงามถือเป็นอีกหนึ่งมนต์สะกดที่ดึงดูดให้ชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวจากต่างแดนนิยมแวะเวียนมาชื่นชมกันอย่างไม่ขาดสาย
เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง ความสงบของพื้นที่ทำให้จิตใจของเราเบาสบายไปด้วย หลังจากได้ลองเสี่ยงเซียมซีเพื่อถามคำถามที่ข้องใจกับเทพเจ้าอยู่นาน เราเดินขึ้นมาด้านบนของวัดเพื่อชื่นชมกับทะเลแปซิฟิกและสายรุ้งที่อยู่ตรงหน้า ในใจแอบคิดว่า หรือนี่จะเป็นสัญญาณที่บอกว่าพรที่ขอจะเป็นไปตามประสงค์ แต่เอาเข้าจริงๆ เราว่าแค่ได้เห็นภาพแบบนี้ด้วย 2 ลูกตาก็รู้สึกราวกับว่าได้รับพรไปซะแล้ว
หากใครอยากแวะเติมพลังทางจิต ด้วยการหาที่พึ่งพิงทางใจ เราว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในไต้หวันที่ไม่ควรพลาดเลย


(ขอเอาภาพเจ้าเสือไซซ์มินิมายืนยันความสงบของวัดนี้หน่อยแล้วกัน)
4
โบกมือลาพระอาทิตย์ที่
‘ไว่อ้าว’ ชายหาดสีดำของอี๋หลาน
Wai’ao Beach
ก่อนฟ้าจะมืด พี่ไกด์พาเราแวะมาที่ชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งบรรยากาศฟุ้งไปด้วยละอองน้ำเล็กๆ เราเดินบนเม็ดทรายสีดำไปเรื่อยๆ จนเข้าไปใกล้กับเกลียวคลื่นที่ดูเอาเรื่องพอสมควร
‘ชายหาดไว่อ้าว’ (Wai’ao) หาดทรายสีดำ อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของอี๋หลานเลยทีเดียว จากการเดินสำรวจกว่า 15 นาที เราพบว่าบรรยากาศที่นี่ดูจะเหมาะกับการมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ชายหาดกว้างและทอดยาว ใครใคร่จะมานั่งปูเสื่อปิกนิกก็ดูจะเป็นไอเดียที่ดีไม่ใช่น้อย หรือหากจะมาเดินชมพระอาทิตย์ตกดินแบบเราก็ถือเป็นการปิดฉากวันที่ดีมากทีเดียว
ใกล้ๆ กับชายหาดนี้ เราเจอกับร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาทางน้ำเป็นระยะ พี่ไกด์บอกเราว่าด้วยความที่ชายหาดนี้มีคลื่นค่อนข้างสม่ำเสมอ เลยทำให้เป็นที่นิยมในการเล่นเซิร์ฟบอร์ด ยิ่งในวันที่อากาศดีไม่มีมรสุมจะเจอคนมาใช้เวลาไปกับกิจกรรมทางน้ำกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเลย
นอกจากกิจกรรมต่างๆ ที่เราว่าไว้ข้างต้น นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่สวยงามของภูเขาเต่าที่อยู่ใกล้เคียง และเกาะกุยซาน (Guishan Island) ที่สามารถมองเห็นได้จากชายหาดไว่อ้าวได้อีกด้วย


5
สัมผัสบรรยากาศท้องถิ่นที่ไม่ควรพลาด
ณ ‘ตลาดกลางคืนหลัวตง’
(Luodong Night Market)
ตลาดกลางคืน หรือถนนคนเดิน เป็นอีกหนึ่ง Bucket List ที่เราต้องแวะไปเยือนให้ได้ ไม่ว่าจะไปเที่ยวเมืองไหนก็ตาม เพราะเขาว่ากันว่า เราจะเห็นชีวิตอันเป็นธรรมชาติของคนที่นั่น พร้อมทั้งสัมผัสกับอาหารการกินท้องถิ่นจริงๆ และแน่นอนว่าการมาอี๋หลานในครั้งนี้เราเองก็ไม่พลาดที่จะแวะเดินตลาด เพื่อซึมซับบรรยากาศ และกิจวัตรในยามค่ำคืนของคนไต้หวันสักหน่อย
‘ตลาดกลางคืนหลัวตง’ หนึ่งในสถานที่ชิลล์เอาต์ที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในอี๋หลาน ด้วยบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและความหลากหลายของอาหารและสินค้า ตลาดกลางคืนแห่งนี้จึงเป็นหมุดหมายที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและลิ้มลองอาหาร Street Food แบบไต้หวันออริจินัล


นอกเหนือไปจากของกินอันโอชะ และสินค้าหลากหลายที่ตั้งแผงกันอยู่ทั่วทั้งตลาด เรายังพบว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมกิจกรรมนันทนาการชั้นดีของคนไต้หวันเลย ในทุกตรอกซอกซอยจะมีสารพัดร้านเครื่องเล่น อย่างปาจิงโกะ ตู้คีบตุ๊กตา หรือแม้แต่ตู้ถ่ายภาพสติกเกอร์ ตั้งเรียงราย และไม่ว่างเว้นไปจากผู้คนสักร้าน แต่ที่เห็นจะคึกคักที่สุดก็น่าจะเป็นตู้เล่นปาจิงโกะนี่แหละ

เวลา 2 ชั่วโมงหมดไปกับการเดินวนแล้ววนอีก แวะโน่น ชิมนี่ และบันทึกภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจตามประสาคนเคยมาอี๋หลานเป็นครั้งแรก หากใครเป็นคนที่ชอบเดินเล่นและสังเกตสิ่งรอบๆ เหมือนกันล่ะก็ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ต้องแวะมาเก็บประสบการณ์กันด้วยจอประสาทตาให้ได้เลยทีเดียว
6
‘Jimmy Park’ สวนสร้างสรรค์ ณ ริมฝั่งถนน
ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟอี๋หลาน ใครจะไปคิดว่าบนทางเท้าที่มีผู้คนสัญจรไปมาอยู่ทุกวัน จะเป็นที่ตั้งของผลงานศิลปะสุดสร้างสรรค์จากศิลปินไต้หวันท่านหนึ่ง
‘Jimmy Park’ เป็นสถานที่ที่ตั้งใจออกแบบมาให้เป็นพื้นที่ของความฝันและจินตนาการ เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์สุดน่ารักของ ‘Jimmy Liao’ ศิลปินนักวาดการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไต้หวันและทั่วโลก
ณ สวนแห่งนี้ มีทั้งผลงานที่เป็นภาพวาดสีสันสดใส และรูปปั้นตัวการ์ตูนสุดน่ารักที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย จะมาทำกิจกรรมน่ารักๆ ก็ได้ หรือมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจก็ดี


ด้วยความที่สวนแห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งของถนน ระหว่างทางที่เดินไปยังสวนอีกฟาก เราก็เจอเข้ากับเสน่ห์เล็กๆ บนทางเท้าที่ต้องบันทึกภาพเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทาง ถนนหนทางที่ดูสะอาดตา ตึกสีอิฐที่ประกอบกิจการอะไรสักอย่าง สิ่งเหล่านี้เป็นบรรยากาศโดยรวมที่ชวนให้เราอยากที่จะเดินเล่น และอยากชมความเรียบง่ายแต่สร้างสรรค์ของเมืองไปเรื่อยๆ แม้ในเที่ยงวันนั้นจะมีฝนปรอยลงมาบ้าง ก็ถือเป็นบรรยากาศที่ร่มรื่นไปอีกแบบ


7
ซึมซับกิจวัตรของผู้คน และสัมผัสกับศิลปะจากท้องถิ่น
ณ ‘Chung Hsing Cultural and Creative Park’
หากใครเป็นคนรักงานสร้างสรรค์ ชอบงานศิลปะ แถมอยากรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ เราอยากแนะนำให้คุณแวะมาที่นี่สักครั้งหากได้มาอี๋หลาน
อาคารที่ดูผ่านกาลเวลามานานเหล่านี้ อดีตเป็นโรงงานกระดาษที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1935 และได้ปิดตัวลงในปี 2001 ก่อนจะได้รับการชุบชีวิตใหม่ในทศวรรษถัดมา โดยเทศบาลนครอี๋หลานได้เปลี่ยนให้โรงงานร้างแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่สำหรับนำเสนอศิลปะวัฒนธรรม และผลงานสร้างสรรค์จากศิลปินท้องถิ่น

จากที่ได้เดินดูรอบๆ เรามองว่าเอกลักษณ์ของ Creative Park แห่งนี้คือการยังคงไว้ซึ่งความดิบของโรงงานที่ถูกทิ้งร้างไว้อย่างเก่า แต่ภายในกลับถูกสรรค์สร้างให้กลายเป็นทั้งพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ ดัดแปลงมาเป็นร้านรวงที่โชว์ผลงานของศิลปินท้องถิ่น รวมถึงเป็นพื้นที่ทำกิจกรรม DIY หลากหลายแขนง เรียกได้ว่าเป็นการประยุกต์เอาสิ่งเก่ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างดีเลยทีเดียว


การใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ดูจะไม่เพียงพอที่จะสำรวจในทุกๆ องค์ประกอบของสเปซแห่งนี้ แต่เท่าที่เราสังเกตได้ ที่นี่คือสถานที่ที่แม้กระทั่งคนไต้หวันเองก็มาใช้เวลาพักผ่อนในวันหยุด เราเจอคุณลุงที่มาเดินดูนิทรรศการกระดาษ เจอกลุ่มเด็กนักเรียนที่มาถ่ายภาพหมู เจอเหล่าผู้ปกครองที่พาลูกหลานมาเดินเล่น และเจอคนมาทำอีกสารพัดกิจกรรมที่จะเป็นไปได้
ประสบการณ์ที่เราได้รับจากที่นี่ นอกจากจะเป็นการเยี่ยมชมผลงานสร้างสรรค์ ศิลปะ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของโรงงานแห่งนี้แล้ว เรายังได้สัมผัสกับกิจวัตรที่หลากหลายของผู้คนที่นี่อีกด้วย


ธรรมชาติบำบัด ความสงบ และเรียบง่าย คือคำนิยามที่เราได้จากการเดินทางมาอี๋หลานในครั้งนี้ การหลีกหนีชีวิตที่เคร่งเครียดกับการทำงานมาพักผ่อนที่นี่ ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้า และเติมไฟในการใช้ชีวิตของเราได้ไม่น้อย
การได้วิ่งมาซบธรรมชาติที่พร้อมจะโอบกอดเราไว้ และทำความเข้าใจกับความเหมือนและต่างของผู้คน เป็นสิ่งที่ทำให้เราในฐานะผู้เดินทาง ได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้น แถมยังได้กำลังใจกลับไปสู้กับอะไรต่อมิอะไรที่รออยู่อีกเพียบ
‘อี๋หลาน’ ในความทรงจำของเราเต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่มและฟ้าครามสดใส พร้อมไปด้วยมิตรภาพดีๆ ที่ได้เจอระหว่างการเดินทาง ก่อนจากกันเราอยากจะบอกว่า ที่นี่จะยังคงความอุดมสมบูรณ์ตลอดทั้งปีเลยนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยากจะแวะมาพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ หรืออยากเข้ามาทำความรู้จักกับเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวนี้ จะแวะมาช่วงไหนก็ได้พลังใจกลับไปแน่นอน
ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันนะ!
รายละเอียดสถานที่และวิธีการเดินทางสามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้ที่: https://www.taiwantourism.org/th/