“ทำทุกอย่างที่คิดและทำให้ไว” ป๋อม-กิตติ ไชยพร แห่ง ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

ป๋อม-กิตติ ไชยพร คือครีเอทีฟโฆษณาระดับผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและมีชื่อเสียงในแวดวงคนทำโฆษณา เขาสตาร์ทงานตั้งแต่เรียนจบหมาดๆ ที่เอเจนซี่ BBDO อยู่ยาวร่วม 10 ปี ก่อนจะเติบโต ย้ายไปอยู่เอเจนซี่ Publicis Worldwide และ Lowe ตามลำดับในตำแหน่งผู้บริหาร แต่เส้นทางที่มั่นคงหรือมั่งคั่งด้วยรางวัลกลับไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ป๋อมตัดสินใจลาออกมาปลูกปั้น ‘ชูใจ กะ กัลยาณมิตร’ เอเจนซี่โฆษณาเล็กๆ ร่วมกับเพื่อนร่วมวงการที่ต่างต้องการใช้ความรู้ความสามารถด้านโฆษณามาทำงานเพื่อสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองไทย ปัจจุบันชูใจฯ ได้สร้างสรรค์โฆษณาและโปรเจกต์เพื่อสังคมหลายชิ้น เช่น โปรเจกต์ วิ่งด้วยกัน มินิมาราธอน ที่ชวนคนปกติมาวิ่งเป็นเพื่อนคู่คนพิการ, พิพิธภัณฑ์กลโกงชาติที่ตอกย้ำการต่อต้านคอร์รัปชัน, โฆษณาบอกเล่าเรื่องราวความรักของแม่ต่อลูกของคนอร์, งานวัดลอยฟ้า ญาณสังวร ๑๐๑ : จิตตนคร ที่สื่อสารเรื่องธรรมะอย่างทันสมัย ฯลฯ

กว่าจะผ่านมาถึงปีที่ 5 แน่นอนว่าการออกมาสร้างเอเจนซี่เล็กๆ ชื่อ ชูใจ กะ กัลยาณมิตร ไม่ใช่ทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีความเสี่ยง มีเรื่องผิดหวัง แต่ป๋อมยืนยันว่าพอใจกับมัน พอใจกับการได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมควบคู่ไปกับงานพาณิชย์ เครียดน้อยลงเพราะไม่ต้องจดจ่อกับการล่ารางวัลและหาลูกค้าเพิ่มให้เงินเดือนสูงขึ้น ในเวลานี้ ความสุขและการมีเวลากับครอบครัวดูเหมือนจะเป็นโบนัสที่ดีที่สุดของเขา

หากย้อนกลับไปสอนตัวเองในอดีตสมัยยังอยู่เอเจนซี่ยักษ์ใหญ่และพรั่งพร้อมด้วยชื่อเสียง เขาจะบอกอะไร

ป๋อมตอบว่า “ทำทุกอย่างที่คิดและทำให้ไว”

“ชูใจฯ เกิดขึ้นจากความคิดที่อยากทำเพื่อสังคมกับการที่เราอยากทำอะไรที่ไม่เคยทำ มันเป็นสิ่งที่คิดไว้ในช่วงท้ายๆ ของการทำโฆษณาแต่ไม่กล้าทำสักที ถ้าให้กลับไปสอนตัวเอง เราคงบอกตัวเองว่าทำไปเถอะ ทำสิ่งที่คิดให้มันเยอะที่สุด ไม่ต้องกลัว แล้วก็น่าจะทำให้เร็วกว่านี้ ยอมรับว่าใน 10 ปีแรกเรายังกลัว ความจริงเรียนจบมาเริ่มเลยก็ได้ มันเหมือนคนจะมีลูก ต้องรอทำงานมั่นคง รอผ่อนบ้านหมด สุดท้ายไม่มีลูกสักที ในแง่โฆษณา ถ้ารอให้คุณเป็นหัวหน้าคน เป็นผู้บริหารก่อนแล้วค่อยออกมาทำเอง มันอาจจะช้าไป ทุกวันนี้จะบอกน้องๆ ว่าให้รีบลองทำเมื่อยังมีแรง เพราะถ้าไปลองตอนปลายๆ ชีวิต คุณจะมีทางเลือกให้เลือกน้อยเพราะคุณแก่แล้ว สำหรับเรา ชีวิตมันควรจะทำให้ได้เยอะๆ ถ้าลองแล้วไม่เวิร์กก็ค่อยกลับทางเดิมแล้วหาอะไรใหม่ๆ ทำ”

“เราพูดมาตลอดว่าอยากให้ ชูใจฯ เป็นคนถางทางทิ้งไว้ เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้คือการทำเพื่อสังคมอย่างเดียวมันรอดยาก เมื่อก่อนเราต้องทำงานพาณิชย์เพื่อเอาเงินมาทำงานเพื่อสังคม เพื่อให้เรามีเงิน มีแรง แต่พอชูใจฯ อยู่ตัว โมเดลการทำงานพาณิชย์และเพื่อสังคมก็หลอมรวมกัน ทำไปพร้อมกัน เมื่อก่อนคำถามแรกที่เกิดขึ้นเลยคือทำงานเพื่อสังคมแล้วจะอยู่ยังไง จะเอาอะไรกิน แต่ตอนนี้เราได้ทำลายความกลัวนั้นออกไป อย่างน้อยก็มีตัวอย่างหนึ่งที่มันไม่เจ๊งเพราะมันอยู่มา 5 ปีแล้ว เป็นการบอกเด็กรุ่นใหม่ว่าทางที่คุณได้ใช้ไอเดียให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้วทำมาหาเลี้ยงชีพไปด้วยเนี่ย มันเป็นไปได้นะเว่ย”

“แนวทางของชูใจฯ ทุกวันนี้มันคือการทำประโยชน์ ชีวิตเรามันสั้น อยากทำตัวเองให้มีคุณค่า เรารู้สึกว่าถ้าเรามีความสามารถนี้แล้วเราจะทิ้งไว้ได้ก่อนตาย เราน่าจะทำตัวให้มีประโยชน์นะ ไม่ต้องต่อโลกทั้งใบหรอก แค่ในซอยบ้านหรือตำบลเราก็ได้ เมื่อก่อนเราใช้ความสามารถที่มีไปในทางเดียวเพื่อลูกค้า แต่ถ้าเราเอาความสามารถไปทำประโยชน์เพื่อคนอื่นจริงๆ ตั้งแต่จบมายิ่งเร็วก็ยิ่งดี เราทำโฆษณาพาณิชย์ที่สื่อสารเรื่องมีประโยชน์ได้ แต่เราเพิ่งทำเมื่อ 5 ปีให้หลังนี่เองทั้งที่ทำงานมา 20 กว่าปี ถ้าเราเริ่มเร็วกว่านี้หน่อยมันน่าจะมีคนได้ประโยชน์เพิ่มรึเปล่า เมื่อ 5 ปีที่แล้วเราเพิ่งได้ทำโปรเจกต์ของเล่นเพื่อเด็กพิการ ปีนี้ก็เพิ่งได้ทำโปรเจกต์ของกาชาด ชวนคนมาบริจาคเลือดหรืออวัยวะอย่างจริงจัง ทั้งที่ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว มาคิดตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันเสียเวลานิดหน่อย”

“เกิดพรุ่งนี้ตายไป แม่งเสียดาย”

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR